เรื่องย่อหนัง
หนัง Jason Bourne หรือชื่อไทยว่า เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย แมตต์ เดม่อน กลับมารับบท เจสัน บอร์น อีกครั้ง ในภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์สุดมันส์ Jason Bourne เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย นอกจากนี้ พอล กรีนกราสส์ (จาก The Bourne Supremacy และ The Bourne Ultimatum) ยังกลับมารับหน้าที่ผู้กำกับอีกด้วย ภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้กวาดรายได้จาก 4 ภาคแรก มากกว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ กลับมาคราวนี้ เจสัน บอร์น มาพร้อมกับความทรงจำ แม้ว่าจะจำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างเสมอไปภาคนี้ทิ้งห่างจากภาคก่อนถึง 9 ปี
โดย พอล กรีนกราสส์ ผู้กำกับภาพยนตร์บอกว่า กว่าจะกลับคราวนี้ใช้เวลานาน เพราะเรายังไม่ได้บทที่โดนใจ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เจสัน บอร์น ไม่ได้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ จึงไม่ต้องใส่หน้ากากหรือผ้าคลุม เขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ผมคิดว่าตอนที่คนดูเจสัน บอร์น พวกเขาสามารถจินตนาการได้ว่าจะตอบโต้กับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมได้อย่างไร มันตื่นเต้นมากเวลาที่คุณเห็นเขาคิดแผนการและเริ่มปฏิบัติการตามแผน
ตัวอย่างหนังออนไลน์
รีวิวหนัง
การกลับมาอีกครั้งของ Jason Bourne หลังจาก ภาคที่แล้ว มีการแยกเส้นเรื่องออกไป แล้วกระแสตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร การกลับมาคราวนี้ ได้ Matt Damon กลับมารับบทบาทเดิม รวมทั้งผู้กำกับ Paul Greengrass ที่กลับมารับหน้าที่ผู้กำกับเช่นกัน
..
ภาคนี้ เจสัน บอร์น ยังคงต้องควานหา เรื่องราวในอดีตของเขา แม้ความจำจะกลับมา แต่ เจสัน บอร์น ก็ไม่รู้ความจริงทั้งหมด ต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ หากินกับการต่อสู้ข้างถนนไปวันๆ เพียงเพราะ เจสัน บอร์น คิดว่าการที่ตนเองอยู่แบบนี้จะทำให้ชีวิตของเขาสงบขึ้น แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เจสัน บอร์น ได้พบกับ นิกกี้ พาร์สัน (Julia Stiles) ซึ่งเธอจะมอบข้อมูลบางอย่าง ข้อมูลที่ เจสัน บอร์น อาจจะเติมเต็มสิ่งที่กำลับสืบหาเรื่องราวบางอย่างในอดีตของเขา แต่ นิกกี้ พาร์สัน ไม่ล่วงรู้เลยว่าโดน เฮเธอร์ ลี (Alicia Vikander) เจ้าหน้าที่ CIA แผนกไซเบอร์ดักจับการกระทำได้ ตอนที่เธอ แอบเจาะข้อมูลแฮคออกมา และ เฮเธอร์ ลี ขออำนาจจาก โรเบิร์ต ดิวอี้ (Tommy Lee Jones) ผอ. CIA เพื่อทำการจับกุม เจสัน บอร์น และ นิกกี้ พาร์สัน
..
หนังพยายามที่จะทำให้ คนดูหวนกลับไปสัมผัสความรู้สึกถึงเอกลักษณ์ของ ภาพยนตร์ชุดนี้ แต่เนื่องด้วย บทภาคนี้ พอล กรีนกราสส์ ได้ลงมาเขียนเอง ทำให้ดูเหมือนเป็นการตั้งต้นใหม่ของเรื่องราว Jason Bourne มากกว่า ทำให้เรื่องราวบทอาจจะไม่ได้เชื่องโยง กลับ 3 ภาคแรกมากนัก แถมภาคนี้มีการเพิ่มตัวละครสำคัญใหม่ๆ ทั้ง ผอ. ดิวอี้ ทีมีความสำคัญในการสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ที่แยกออกไป มากกว่าที่จะไล่ล่า เจสัน บอร์น รวมถึง แอสเซท (Vincent Cassel) ศัตรูตัวฉกาจที่มีปมแค้นในอดีตที่สำคัญต่อ เจสัน บอร์น และ อีกคนหนึ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ เฮเธอร์ ลี รับบทโดย (Alicia Vikander) เจ้าของรางวัลออสการ์สมทบหญิงปีล่าสุด เธอแสดงออกมาได้ดีตามบทที่เธอได้รับ เธอทั้งสวยและเก่ง บทปูพื้นมาอาจให้เธอมีบทบาทสำคัญในภาคต่อๆไป (ถ้ามีภาคต่อนะ)
..
เนื่องด้วยภาคนี้ มีภารกิจเรื่องราวใหม่ๆ เสริมเข้ามา ทำให้ เสน่ห์ของหนังชุด Jason Bourne อาจดรอปลงไป อาทิเช่นการชิงไหวชิงพริบ ระหว่างฝ่ายไล่ล่า กับฝ่ายถูกล่า แต่พอจะเข้าใจอยู่บ้าง การที่ พอล กรีนกราสส์ พยายามแตกเรื่องราวไปมากกว่าจะไล่ล่า เจสัน บอร์น เพียงอย่างเดียว ซึ่งเราอาจจะเห็นเส้นเรื่องคร่าวๆ ในอนาคตของหนังชุดเรื่องนี้ในภาคต่อๆไป รวมไปถึงการเล่าเรื่องที่เนิบนาบบางช่วงทำให้อารมณ์หนังดรอปลงไปพอสมควร
..
แต่เรื่องความมันส์ในฉากแอคชั่น ยังคงมีให้เห็นอยู่อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น ฉากไล่ล่า บนถนนทั้งตอนต้นเรื่องและปลายเรื่อง การตัดต่อภาพที่กระชับฉับไว บวกกับ เสียงดนตรีประกอบที่เร้าอารมณ์คนดู ให้ตื่นเต้นเสพความมันส์กันได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือใช้อาวุธที่อยู่ใกล้ตัวรวมถึงการเอาตัวรอดของเขาในยามคับขัน ที่ยังเป็นเสน่ห์ของ เจสัน บอร์น
..
โดยรวม ถือว่าเป็นการกลับมาที่ไม่เต็มอิ่มซักเท่าไหร่ การดรอปลงทั้งการชิงไหวชิงพริบที่มีชั้นเชิงน้อยลง มีการเล่าเรื่องที่เนิบนาบบางช่วง แต่หนัง Jason Bourne ก็ยังมีของอยู่ การไล่ล่าบนถนน ฉากแอคชั่น ที่พอทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุก น่าติดตาม คุ้มค่าที่จะตีตั๋วเข้าไปดู
มิถุนายน 15, 2020